1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย

ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดค้นหาสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่แท้จริง พร้อมวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้กลับมาบาดเจ็บซ้ำ

การซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำกายภาพบำบัด เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพและหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย โดยขั้นตอนหลักๆ มีดังนี้:

1. การซักประวัติ (History Taking)

  • การถามประวัติอาการ:
    • ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเมื่อไร? อาการมีความรุนแรงและความถี่อย่างไร?
    • อะไรที่ทำให้อาการแย่ลงหรือดีขึ้น?
    • อาการมีลักษณะอย่างไร (เช่น ปวด, ชา, บวม)?
  • การถามประวัติสุขภาพทั่วไป:
    • ประวัติการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก่อนหน้า
    • ประวัติการผ่าตัด, การใช้ยาหรืออาหารเสริม
    • ประวัติโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัว
  • การถามประวัติการใช้ชีวิต:
    • การทำงาน, การออกกำลังกาย, การใช้เวลาในชีวิตประจำวัน
    • ลักษณะการนั่ง, การนอน, การยืนที่อาจมีผลต่ออาการ

2. การตรวจร่างกาย (Physical Examination)

  • การสังเกตการณ์ (Observation):
    • สังเกตรูปร่างท่าทางการยืน การเดิน และลักษณะการเคลื่อนไหว
    • การมองหาสัญญาณของการบวม ช้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
  • การสัมผัส (Palpation):
    • การสัมผัสกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อหาจุดที่มีความตึงเครียด ความเจ็บปวด หรือการอักเสบ
  • การตรวจการเคลื่อนไหว (Range of Motion – ROM):
    • ทดสอบการเคลื่อนไหวของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เพื่อดูว่าสามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่หรือไม่
  • การตรวจความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength Testing):
    • ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละกลุ่ม เพื่อประเมินความสามารถในการรับแรง
  • การตรวจระบบประสาท (Neurological Examination):
    • ตรวจสอบการทำงานของระบบประสาท เช่น การทดสอบปฏิกิริยาตอบสนอง, การรับรู้ทางสัมผัส, และการประเมินการทำงานของเส้นประสาทส่วนปลาย
  • การตรวจความมั่นคงของข้อต่อ (Joint Stability Testing):
    • ตรวจสอบความมั่นคงและการทำงานของข้อต่อ เพื่อหาสัญญาณของการเคลื่อนไหวผิดปกติ

3. การวิเคราะห์ผล (Assessment and Analysis)

  • รวมข้อมูลจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย เพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา
  • กำหนดแผนการรักษาและเป้าหมายในการฟื้นฟู โดยพิจารณาจากผลการตรวจและความต้องการของผู้ป่วย

4. การกำหนดแผนการรักษา (Treatment Planning)

  • กำหนดวิธีการรักษา เช่น การทำหัตถการ Manual Therapy, การออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟู, การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีทางกายภาพบำบัด
  • กำหนดระยะเวลาและความถี่ในการรักษา รวมถึงการประเมินผลระหว่างการรักษา
Scroll to Top