อาการ ปวดตึงน่อง เป็นปัญหาที่หลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหลังการออกกำลังกาย การเดินหรือวิ่งเป็นเวลานาน รวมถึงการนั่งหรือยืนนานเกินไป ซึ่งแม้อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตได้
สาเหตุของอาการปวดตึงน่อง
- กล้ามเนื้อใช้งานมากเกินไป (Overuse)
พบได้บ่อยในผู้ที่วิ่งหรือเดินนาน ๆ โดยไม่ได้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ - กล้ามเนื้ออักเสบหรือบาดเจ็บเล็กน้อย
เกิดจากการหดตัวหรือยืดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว - การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก
การนั่งหรือยืนนานทำให้เลือดคั่งบริเวณขา ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงและปวด - รองเท้าไม่เหมาะสม
รองเท้าที่ไม่รองรับแรงกระแทกหรือส้นสูงเกินไป อาจทำให้น่องทำงานหนัก - สัญญาณของโรคบางชนิด
เช่น ภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein) หรือ Deep Vein Thrombosis (DVT) ที่ควรได้รับการตรวจจากแพทย์
อาการที่ควรสังเกต
- ปวดตึงน่องเวลาเดินหรือวิ่ง
- ปวดร้าวลงไปถึงส้นเท้า หรือขึ้นไปถึงต้นขา
- กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เคลื่อนไหวยาก
- มีอาการบวม แดง ร้อน ร่วมด้วย (ควรพบแพทย์ทันที)
การรักษาและการทำกายภาพบำบัด
การ กายภาพบำบัดสำหรับอาการปวดตึงน่อง ช่วยลดอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างปลอดภัย โดยวิธีที่นิยม ได้แก่
- การยืดกล้ามเนื้อน่อง (Calf Stretching Exercise) ช่วยลดความตึงและเพิ่มความยืดหยุ่น
- การนวดบำบัด (Massage Therapy) กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น อัลตราซาวด์บำบัด (Therapeutic Ultrasound), เลเซอร์ลดอักเสบ, Shockwave therapy
- การฝึกออกกำลังกายเฉพาะกลุ่ม เสริมความแข็งแรงของน่องและสะโพก เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
วิธีป้องกันอาการปวดตึงน่อง
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องก่อนและหลังออกกำลังกาย
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสมและรองรับรูปเท้า
- หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำเพียงพอ ลดความเสี่ยงจากภาวะตะคริว
สรุป
อาการ ปวดตึงน่อง อาจเกิดจากพฤติกรรมประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแล หากอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม






