ออฟฟิศซินโดรมคือ

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด (Physical Assessment)

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด ขั้นตอนสำคัญสู่การรักษาที่ตรงจุด

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด (Physical Therapy Assessment) คือหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่นักกายภาพบำบัดต้องทำก่อนเริ่มการรักษา เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เข้าใจรากของปัญหาทางร่างกายอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ดูว่า “เจ็บตรงไหน” แต่คือการวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร และจะฟื้นฟูอย่างไรให้ได้ผลที่สุด

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับความสำคัญ ขั้นตอน และรูปแบบของการตรวจประเมินร่างกาย ตามมาตรฐานทางกายภาพบำบัด

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัดคืออะไร?

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด คือกระบวนการที่นักกายภาพบำบัดใช้ข้อมูลจากการซักประวัติ ร่วมกับการตรวจร่างกาย เพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ ระบบประสาท หรือระบบการเคลื่อนไหวอื่น ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

ทำไมต้องตรวจประเมินร่างกายก่อนทำกายภาพบำบัด?

การตรวจประเมินที่ดีจะช่วยให้:

  • เข้าใจปัญหาหลักของผู้ป่วย เช่น อาการปวดหลังอาจไม่ได้มาจากกล้ามเนื้ออย่างเดียว แต่อาจมาจากโครงสร้างของกระดูกสันหลัง
  • เลือกเทคนิคการรักษาได้ตรงจุด เช่น ผู้ป่วยที่มีการเคลื่อนไหวจำกัด อาจต้องเน้นการยืดกล้ามเนื้อหรือบริหารข้อต่อ
  • ติดตามพัฒนาการอย่างเป็นระบบ ทำให้ประเมินผลการรักษาได้ในแต่ละระยะ
  • แยกโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจต้องส่งต่อแพทย์เฉพาะทาง

ขั้นตอนการตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด

การประเมินทางกายภาพบำบัดมีขั้นตอนดังนี้

1. การสังเกตร่างกาย (Observation)

นักกายภาพบำบัดจะสังเกตลักษณะภายนอก เช่น ท่าทางการยืน เดิน การเคลื่อนไหวของข้อต่อ ความสมดุลของร่างกาย หรือความผิดปกติของแนวกระดูก

2. การคลำ (Palpation)

ใช้มือสัมผัสเพื่อตรวจหาจุดกดเจ็บ การอักเสบ กล้ามเนื้อตึงหรือเกร็ง เพื่อระบุบริเวณที่มีปัญหา

3. การวัดขอบเขตการเคลื่อนไหว (Range of Motion – ROM)

ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อต่อทั้งเชิงปริมาณ (องศาการเคลื่อนไหว) และเชิงคุณภาพ (ราบรื่นหรือไม่)

4. การทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Manual Muscle Testing – MMT)

ตรวจว่ากล้ามเนื้อแต่ละมัดมีแรงมากพอหรือไม่ ใช้มาตรฐาน MMT (คะแนน 0-5)

5. การทดสอบพิเศษ (Special Tests)

เช่น การทดสอบหมอนรองกระดูกสันหลัง การกดเส้นประสาท หรือทดสอบเส้นเอ็น เพื่อช่วยในการวินิจฉัยแบบเฉพาะเจาะจงต่อโรค

6. การประเมินการทรงตัวและการเดิน (Balance & Gait Analysis)

ในผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว นักกายภาพบำบัดจะวิเคราะห์การเดินและการทรงตัวเพิ่มเติม

ความสำคัญของการจดบันทึกผลการประเมิน

การจดบันทึกผลการประเมินอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เปรียบเทียบในแต่ละช่วงของการรักษา เช่น:

  • คะแนน MMT ก่อนและหลังการบำบัด
  • ระยะองศาการเคลื่อนไหว (ROM)
  • ระดับความเจ็บปวด (Pain Score)

สรุป

การตรวจประเมินทางกายภาพบำบัด เป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัย แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญสู่การรักษาที่ได้ผลจริง นักกายภาพบำบัดที่ตรวจประเมินอย่างละเอียด จะสามารถวางแผนการบำบัดได้อย่างแม่นยำ ลดเวลาในการฟื้นฟู และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน

Scroll to Top