กายภาพบำบัดกับอาการปวดโคนนิ้วโป้ง (De Quervain’s Tenosynovitis)

De Quervain’s Tenosynovitis เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณนิ้วโป้งด้านข้อมือ ซึ่งมักทำให้เกิดอาการปวดและบวมในบริเวณนั้น ภาวะนี้มักเกิดขึ้นจากการใช้งานข้อมือหรือมือมากเกินไป เช่น การทำงานที่ต้องจับหรือบีบสิ่งของซ้ำ ๆ การยกของหนัก หรือการเล่นกีฬาที่ใช้มืออย่างหนัก เช่น เทนนิสหรือแบดมินตัน

อาการของ De Quervain’s Tenosynovitis

  1. อาการปวดและบวม: บริเวณฐานของนิ้วโป้งใกล้ข้อมือ
  2. รู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวนิ้วโป้ง: โดยเฉพาะการจับหรือหยิบสิ่งของ

การตรวจร่างกายทางกายภาพบำบัด

  1. การซักประวัติ
    • ลักษณะอาการ: เช่น อาการปวดและบวมที่ข้อมือด้านนิ้วโป้ง
    • กิจกรรมในชีวิตประจำวัน: เช่น การจับของหนัก การพิมพ์งาน การเล่นกีฬา การอุ้มลูก
    • ระยะเวลาที่เกิดอาการ: เพื่อประเมินความเรื้อรัง
    • ประวัติการบาดเจ็บ: เช่น การล้ม การใช้งานข้อมืออย่างหนัก
  2. การตรวจดูอาการอักเสบ ปวด บวม แดง และร้อน
  3. การคลำหาจุดกดเจ็บ (Palpation) บริเวณเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อในการกระดกและกางนิ้วโป้ง Extensor Pollicis Brevis (EPB) และ Abductor Pollicis Longus (APL) เพื่อหาบริเวณที่เจ็บ
  4. การทดสอบเฉพาะทาง (Special test)
    • Finkelstein Test ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยกำนิ้วโป้งไว้ด้านในฝ่ามือ จากนั้นงอข้อมือไปทางนิ้วก้อย หากเกิดอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้ง แสดงว่าผลเป็นบวก
  5. การประเมินการเคลื่อนไหวของข้อมือ (Range of motion)
  6. การทดสอบกำลังกล้ามเนื้อ (Manual muscle testing)
Finkelstein test

การรักษาด้วยกายภาพบำบัด

การกายภาพบำบัดสำหรับ De Quervain’s Tenosynovitis มีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวด ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โดยวิธีการรักษาหลัก ๆ ได้แก่

1. การประคบร้อนหรือเย็น

  • การประคบเย็นในช่วงแรกเพื่อลดอาการบวมและอักเสบ
  • การประคบร้อนเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ, ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

2. การยืดและการออกกำลังกาย

  • การยืดกล้ามเนื้อข้อมือและนิ้วโป้งอย่างอ่อนโยน
  • การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อมือ เช่น การใช้ยางยืดต้านแรง

3. การใช้อุปกรณ์พยุง (Splint)

  • ใช้อุปกรณ์พยุงข้อมือเพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นที่อักเสบ

4. การกดคลายกล้ามเนื้อ

  • การนวดที่มุ่งเน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • การปลดล็อกจุดกดเจ็บ (Trigger Point Release)

5. เทคนิคการลดแรงตึง

  • การเรียนรู้การใช้มืออย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน เช่น การหลีกเลี่ยงการบีบหรือจับของหนักเกินไป
การยืดคลายกล้ามเนื้อ

การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อมือหรือนิ้วโป้งทำงานหนักเกินไป
  • ใช้ท่าทางที่เหมาะสมในการทำงาน
  • ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังใช้งานอย่างหนัก เช่น การยืดกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ

บทสรุป

De Quervain’s Tenosynovitis เป็นภาวะอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณข้อมือด้านนิ้วโป้ง ซึ่งมักเกิดจากการใช้งานซ้ำ ๆ หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน อาการหลักประกอบด้วยอาการปวด บวม และความรู้สึกไม่สบายเมื่อขยับนิ้วโป้งหรือข้อมือ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานข้อมือและนิ้วโป้ง ก็สามารถฟื้นฟูการทำงานของมือให้กลับมาเป็นปกติได้ การดูแลป้องกันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดซ้ำในอนาคต


FAQ คำถามที่พบบ่อย

1. De Quervain’s Tenosynovitis คืออะไร?

De Quervain’s Tenosynovitis เป็นภาวะการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณฐานนิ้วโป้ง ทำให้เกิดอาการปวด บวม และอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของข้อมือและนิ้วโป้ง

2. สาเหตุของอาการนี้คืออะไร?

สาเหตุหลักมักเกิดจากการใช้งานข้อมือและนิ้วโป้งซ้ำ ๆ เช่น การพิมพ์งาน การเล่นกีฬา การยกของหนัก หรือการอุ้มลูก นอกจากนี้ การบาดเจ็บบริเวณข้อมือและการใช้งานในท่าที่ไม่เหมาะสมก็เป็นปัจจัยเสี่ยง

3. อาการของ De Quervain’s Tenosynovitis เป็นอย่างไร?

  • ปวดบริเวณฐานนิ้วโป้งหรือข้อมือ
  • บวมที่บริเวณข้อมือด้านนิ้วโป้ง
  • เจ็บเมื่อขยับนิ้วโป้งหรือจับสิ่งของ

4. ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่ออาการนี้?

  • ผู้ที่ทำงานหรือมีกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อมือมาก เช่น แม่บ้าน นักพิมพ์งาน นักกีฬา
  • คุณแม่ที่อุ้มลูกบ่อย ๆ
  • คนที่ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน

5. วิธีการรักษา De Quervain’s Tenosynovitis มีอะไรบ้าง?

  • การพักการใช้งานข้อมือ
  • การกายภาพบำบัด เช่น การประคบร้อน-เย็น และการยืดเส้น
  • การใช้อุปกรณ์พยุงข้อมือ (Splint)
  • การใช้ยาต้านการอักเสบหรือการฉีดยาลดอาการ
  • กรณีที่รุนแรง อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

6. ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะหายจากอาการนี้?

ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ หากรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น อาจใช้เวลาเพียง 4-6 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่รุนแรงอาจใช้เวลานานกว่านั้น หรืออาจต้องพิจารณาการผ่าตัดร่วมด้วย

Scroll to Top