Carpal Tunnel Syndrome (CTS) หรือกลุ่มอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ เป็นภาวะที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทหน้าแขน (Median Nerve) บริเวณข้อมือ ส่งผลให้มีอาการชาหรือปวดบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และบางส่วนของนิ้วนาง โรคนี้มักพบในผู้ที่ใช้งานข้อมืออย่างหนักหรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวข้อมือซ้ำๆ เช่น การพิมพ์คอมพิวเตอร์ การใช้เครื่องมือช่าง หรือแม้แต่การเล่นเครื่องดนตรี
อาการของ Carpal Tunnel Syndrome

1. ชาและปวดที่บริเวณนิ้วมือ (เฉพาะนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง)
2. อาการแสบร้อน หรือรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มในบริเวณนิ้วมือ
3. กล้ามเนื้อที่โคนหัวแม่มือลีบลง
4. อ่อนแรงในมือ ทำให้จับสิ่งของหล่นบ่อย
สาเหตุของอาการ
มักเกิดจากการเพิ่มแรงกดหรือการอักเสบที่บริเวณอุโมงค์ข้อมือ (Carpal Tunnel) ซึ่งเป็นช่องแคบที่มีเส้นประสาทหน้าแขน (Median Nerve) และเส้นเอ็นหลายเส้นผ่านอยู่ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการนี้ ได้แก่
1. การใช้งานข้อมือซ้ำ ๆ (Repetitive Motion)
- การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือและข้อมือซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น พิมพ์งาน ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นดนตรี งานตัดเย็บ หรือการใช้เครื่องมือช่าง
- การเคลื่อนไหวที่ต้องงอหรือเหยียดข้อมือมากเกินไป
2. การอักเสบของเส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่อรอบข้อมือ
- การอักเสบของเส้นเอ็น (Tendinitis) ทำให้เนื้อเยื่อในอุโมงค์ข้อมือบวม ส่งผลให้เส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับ
- การบาดเจ็บบริเวณข้อมือ เช่น กระดูกหักหรือเคลื่อน
3. ปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม
- การทำงานที่ต้องใช้แรงมากหรือการจับสิ่งของในท่าที่ไม่เหมาะสม
- การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือน เช่น การใช้เครื่องมือที่สั่นสะเทือนเป็นเวลานาน
4. โรคหรือภาวะทางสุขภาพอื่น ๆ
- โรคข้ออักเสบ (Arthritis): เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ทำให้เกิดการบวมและการอักเสบในบริเวณข้อมือ
- เบาหวาน: ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของเส้นประสาท
- โรคอ้วน: น้ำหนักตัวมากอาจเพิ่มแรงกดในบริเวณข้อมือ
การรักษาทางกายภาพบำบัด
1. การประคบร้อนและเย็น
- การประคบร้อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการตึงของกล้ามเนื้อ
- การประคบเย็นช่วยลดอาการบวมและการอักเสบในบริเวณข้อมือ
2. การบริหารกล้ามเนื้อและการยืดเหยียด
นักกายภาพบำบัดจะแนะนำการออกกำลังกายเฉพาะที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในมือและข้อมือ เช่น

- การงอนิ้วและเหยียดนิ้ว
- การยืดกล้ามเนื้อที่ปลายแขนและข้อมือ
- การขยับคลายความตึงของเส้นประสาท
3. การใช้อุปกรณ์ช่วย
- การใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ (wrist splint) เพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เส้นประสาทถูกกดทับเพิ่ม
- การใช้อุปกรณ์ช่วยลดแรงในการทำงาน เช่น คีย์บอร์ดแบบ ergonomic
4. เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Therapy)
- นักกายภาพบำบัดอาจใช้เทคนิคการนวดหรือการกดจุด เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อมือ
5. การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation)
- ใช้กระตุ้นเส้นประสาทเพื่อลดปวดและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ช่วยฟื้นฟูการทำงานของมือ
วิธีการป้องกัน Carpal Tunnel Syndrome
- หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมืออย่างหนักหรือนานเกินไป
- ใช้ท่าทางที่ถูกต้องในการทำงาน เช่น การจัดวางคีย์บอร์ดและเมาส์ในระดับที่เหมาะสม
- พักมือเป็นระยะเมื่อทำงานที่ต้องใช้มืออย่างต่อเนื่อง
- ออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อมือเป็นประจำ
บทสรุป
Carpal Tunnel Syndrome หรือ กลุ่มอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ เป็นภาวะที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทมีเดียนในอุโมงค์ข้อมือ ส่งผลให้เกิดอาการชา ปวด และอ่อนแรง สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ ฟื้นฟูการทำงานของมือและข้อมือ รวมถึงช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ ผู้ที่มีอาการหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
FAQ คำถามที่พบบ่อย
1. Carpal Tunnel Syndrome คืออะไร?
Carpal Tunnel Syndrome (CTS) หรือ กลุ่มอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ เกิดจากการกดทับเส้นประสาทมีเดียนในอุโมงค์ข้อมือ ส่งผลให้มีอาการชา ปวด หรืออ่อนแรงบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และบางส่วนของนิ้วนาง
2. ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็น Carpal Tunnel Syndrome?
- ผู้ที่ทำงานใช้มือซ้ำ ๆ เช่น พิมพ์งาน ใช้คอมพิวเตอร์ งานตัดเย็บ หรือช่างไม้
- คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ต่ำ ข้ออักเสบรูมาตอยด์
- หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน
3. อาการของ Carpal Tunnel Syndrome มีอะไรบ้าง?
- ชา ปวด หรือแสบร้อนบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง
- กล้ามเนื้อโคนหัวแม่มือลีบ
- มืออ่อนแรง จับสิ่งของหล่นบ่อย
4. อาการนี้รักษาได้หรือไม่?
Carpal Tunnel Syndrome รักษาได้ โดยวิธีรักษามีตั้งแต่การดูแลตนเอง การทำกายภาพบำบัด การใช้ยา การใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ ไปจนถึงการผ่าตัดในกรณีที่อาการรุนแรง
5. จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่?
การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย หากการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น กายภาพบำบัด การใช้ยา และการใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ ไม่สามารถบรรเทาอาการได้
6. ถ้าไม่รักษา จะเกิดผลกระทบอะไร?
หากปล่อยทิ้งไว้ อาการอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้กล้ามเนื้อโคนหัวแม่มือลีบถาวร ส่งผลต่อความสามารถในการใช้งานมือและคุณภาพชีวิต
7. ควรพบแพทย์เมื่อใด?
ควรพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้
- มีอาการชาหรือปวดข้อมือบ่อย ๆ
- มืออ่อนแรงจนส่งผลต่อการทำงาน
- อาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง
8. การรักษาต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ สำหรับอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง การรักษาแบบไม่ผ่าตัดอาจใช้เวลา 6-12 สัปดาห์ หากต้องผ่าตัด การฟื้นตัวอาจใช้เวลาหลายเดือน